28-01-2019

อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังตกอยู่ในสภาวะการเปลี่ยนแปลง และความไม่แน่นอน – ไม่ใช่ซีอีโอทุกคนที่พร้อมรับมือ เคพีเอ็มจี กล่าว

บทความโดย

ผลสำรวจ: ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจนสำหรับเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนยานยนต์ในอนาคต; โตโยต้าได้รับยกย่องให้เป็นแบรนด์ที่มีความพร้อมที่สุดสำหรับอนาคต

KPMG-Global Automotive Executive Survey

จากที่อุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกกำลังเข้าสู่ช่วงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างขนานใหญ่ ซึ่งมีเรื่องของการเชื่อมต่อ (connectivity) และระบบดิจิทัล (digitization) เป็นเทรนด์อันดับหนึ่งของอุตสาหกรรมยานยนต์ จากผลสำรวจ “20th KPMG Global Automotive Executive Survey (GAES)” ผู้บริหารส่วนใหญ่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ โดยผู้เล่นแต่ละรายจำเป็นต้องสร้างจุดแข็ง สร้างความรู้ความเชี่ยวชาญที่แตกต่างไปจากเดิม อย่างไรก็ตามผู้บริหารส่วนใหญ่ยังไม่มีความกังวลมากนักถึงผลกระทบต่อกำไรที่จะลดลง ทั้งนี้ เคพีเอ็มจีได้เตือนผู้รับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ต่างๆ (original equipment manufacturers – OEMs)  ว่าหากผู้รับจ้างผลิตยังไม่ได้วางแผนรองรับการดำเนินธุรกิจในอนาคต จะส่งผลต่อกำไรที่ลดลงอันเนื่องมาจากปัจจัยแวดล้อมทางการตลาดที่มีมากขึ้น และความต้องการของตลาดที่หดตัวลง

ผลสำรวจอื่นๆ ของ KPMG GAES ประจำปี ซึ่งมาจากการสำรวจผู้บริหารในอุตสาหกรรมยานยนต์ และเทคโนโลยีเกือบ 1,000 ราย และผู้บริโภคประมาณ 2,000 รายทั่วโลก พบว่า

  • มีความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยานยนต์จะถูกขับเคลื่อนโดยนโยบาย กฎข้อบังคับ
  • แต่ละประเทศมีแนวโน้มที่จะพัฒนาระบบส่งกำลังยานยนต์ (powertrain) ที่ตรงกับวัตถุดิบ (raw material) ที่ประเทศนั้นมี เช่น สหรัฐอเมริกาจะมุ่งพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายใน (internal combustion engines – ICEs) และยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell electric vehicles – FCEVs) ในขณะที่ประเทศจีนจะเน้นระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (e-mobility)
  • ตลาดค้าปลีกอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดย 30%-50% ของร้านค้าปลีกจะหายไป หรือถูกเปลี่ยนสภาพไปภายในปี พ.ศ. 2568
  • จะไม่มีผู้เล่นรายไหนที่สามารถคุมห่วงโซ่แห่งคุณค่าได้ทั้งหมด แต่ละองค์กรจะมีความร่วมมือกันมากขึ้นในอนาคต
  • ผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่าจะซื้อรถยนต์ไฮบริดเป็นคันต่อไป
  • ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (battery electric vehicles – BEVs) กลับมาครองเทรนด์การผลิตอันดับ 1 ของปีชนะยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell electric vehicles : FCEVs)
  • โตโยต้าได้รับเลือกจากผู้บริหารให้เป็นแบรนด์ที่เตรียมพร้อมสำหรับอนาคตได้ดีที่สุด ตามมาด้วย BMW และ Tesla

คุณดีเตอร์ เบคเกอร์ ประธานฝ่ายยานยนต์ของเคพีเอ็มจี กล่าวว่า “อุตสาหกรรมยานยนต์จะต้องตระหนักว่าความไม่ปกติคือความปกติในยุคของการเปลี่ยนแปลงนี้  ไม่มีคำตอบหนึ่งเดียวที่จะสามารถตอบโจทย์อุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกได้หมด ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ต่างมีการจัดการที่แยกจากกันเป็นส่วนๆ แม้ว่าจะมีความเชื่อมโยงกันบ้าง องค์กรเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลง ควบรวม หรือเปลี่ยนสภาพเนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเข้าสู่การปฏิวัติทางเทคโนโลยี  ซึ่งเคพีเอ็มจีเห็นถึงความไม่แน่นอนที่ค่อนข้างมากสำหรับธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจ  โดยบริษัทรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ต่างๆ (OEMs) ส่วนใหญ่ที่ได้รับการสำรวจเชื่อว่าพวกเขาสามารถปรับใช้แพล็ตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเพื่อให้บริการแก่อุตสาหกรรมยานยนต์ได้  แต่เราเห็นต่าง เราเชื่อว่าผู้เล่นดั้งเดิมที่ลงทุนในสินทรัพย์/อุปกรณ์ทั้งหมดด้วยตัวเอง จะต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักในการครองตลาด และการแข่งขันกับองค์กรเทคโนโลยีรายใหญ่ที่ใช้ซอฟต์แวร์เป็นตัวขับเคลื่อนการแข่งขันในตลาดยานยนต์”

ผู้ออกกฎหมายเป็นผู้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรม

ผู้บริหารมากกว่า 3 ใน 4 (77%) เชื่อมั่นว่าผู้ออกกฎหมายเป็นตัวขับเคลื่อนเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการออกนโยบายและกฎข้อบังคับ  ซึ่งเข้ามาแทนที่บทบาทของ OEMs ซึ่งเป็นมากว่าหลายทศวรรษ คุณเบคเกอร์ กล่าวว่า “จากผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่านโยบายของอุตสาหกรรมยานยนต์ในทวีปเอเชียและในประเทศสหรัฐอเมริกามีความก้าวหน้ากว่าทวีปยุโรป ซึ่งเห็นได้จาก 83% ของผู้บริหารจากประเทศจีน และ 81% ของผู้บริหารจากสหรัฐอเมริกาเชื่อว่าประเทศของพวกเขามีนโยบายทางยานยนต์ที่ชัดเจน ในขณะที่มีซีอีโอจากยุโรปตะวันตกเพียงครึ่งเดียวที่รู้สึกเช่นนั้น”

ไม่มีระบบขับเคลื่อนระบบเดียวที่ครองตลาด

ผู้บริหารทั่วโลกเชื่อว่าภายในปี พ.ศ. 2583 ระบบขับเคลื่อนแต่ละระบบจะมีส่วนแบ่งตลาดที่ไม่แตกต่างกันมากนัก โดยเป็น BEVs 30%, ระบบไฮบริด 25%, FCEVs 23% และ ICEs 23% โดยมี BEVs เป็นผู้นำตลาด ในส่วนของผู้บริโภคนั้นไม่ต้องการเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนทางเลือกแบบเต็มรูปแบบ  ระบบไฮบริดจะเป็นทางเลือกอันดับหนึ่งของผู้บริโภคสำหรับรถยนต์คันต่อไป โดยมี ICEs เป็นตัวเลือกที่ตามมา
คุณธิดารัตน์ ฉิมหลวง ประธานฝ่ายดูแลลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม เคพีเอ็มจี ประเทศไทย กล่าวว่า ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะยังคงเป็นประเทศที่ผลิตรถยนต์สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำของโลก แต่ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับคู่แข่งในภูมิภาคที่ต่างกำลังมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของตนเอง  ประกอบกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน  ดังนั้นผู้ผลิตยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยจึงต้องหาวิธีเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับตนเอง ยานยนต์ขับเคลื่อนไฟฟ้า (Electric Vehicles – EVs) สามารถช่วยพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยได้  เนื่องจากความต้องการ EVs ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  แผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้ EVs และนโยบายทางภาษีที่ส่งเสริมการผลิต EVs ในประเทศไทยต่างเป็นโอกาสที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในการเพิ่มความหลากหลายในการผลิต สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างสูงสุด

ระบบขนส่งผู้โดยสาร และสินค้าจะรวมเข้าด้วยกัน

ความคาดหวังที่จะมีระบบนิเวศของการคนส่งผู้โดยสาร และสินค้ารวมกันนั้นกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหาร 60% เห็นด้วยว่าในอนาคตจะไม่มีการแบ่งแยกระหว่างการขนส่งผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้า คุณเบคเกอร์ กล่าวว่า “สิ่งที่ชัดเจนคือ จะไม่มีผู้เล่นรายใดที่จะสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเองอย่างเดียว ผู้บริหาร 83% มีความเห็นว่าระบบนิเวศที่ควบรวมการขนส่งผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้าเข้าด้วยกัน หรือที่เรียกว่า mobi-listics จะทำให้แต่ละองค์กรต้องทบทวนโมเดลธุรกิจของตน และเห็นถึงความจำเป็นในการร่วมมือกันเพื่อสร้างระบบนิเวศทางการขนส่ง ซึ่งองค์กรที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า และการขนส่งสินค้า มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ครอบครองแพล็ตฟอร์ม”

ท่านสามารถอ่าน 2019 KPMG Global Automotive Executive Survey ในรายละเอียด โดยสามารถเรียกดูข้อมูลแยกตามประเทศ ตามผู้ตอบคำถาม และตามหัวข้อเรื่องได้ที่ home.kpmg/gaes2019