03-07-2019

กสิกรไทยชี้ไพรเวทแบงค์โตต่อเนื่อง พร้อมรับบาทแข็งหุ้นขึ้น เตรียมออก 6 กองใหม่ครึ่งปีหลัง

บทความโดย

ธนาคารกสิกรไทยมองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ช่วงท้ายของวัฏจักรเศรษฐกิจเติบโต (Late Cycle)โดยสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดคืออัตราการว่างงานสหรัฐที่ต่ำสุดในรอบ 50 ปี ที่จะกลายเป็นข้อจำกัดในการสร้างการเติบโตในอนาคต ทั้งนี้ Late Cycle ทางธนาคารกสิกรไทยมองว่าไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจจะเข้าสุ่ภาวะถดถอย แต่อัตราการขยายตัวจะชะลอตัวลง ส่งผลต่อการทำไรของภาคเอกชน การเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาล ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้น ปัจจัยเหล่านี้กำลังกลายเป็นการส่งสัญญาณให้ธนาคารกลางอาทิ FED ของสหรัฐเพิ่มความระมัดระวังในการออกนโยบายการเงินในช่วงเวลานี้

ทางไพรเวทแบงค์กิ้ง ธนาคารกสิกรไทยจึงได้จัดงานสัมมนา “Mid-year Economic Outlook 2019” เพื่อให้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทย การจัดพอร์ตการลงทุนตลอดจนภาพรวมของธุรกิจไพรเวทแบงค์กิ้ง

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคาร​กสิกรไทย​(KBANK) กล่าวว่า ในครึ่งปีแรก 2019  Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย มีลูกค้าที่ให้การดูแลอยู่ที่ 11,000 ราย โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ทั้งหมดอยู่ที่ 7.6แสนล้านบาท คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะขยายตัวประมาณ 8-10% ขณะที่การบริหารพอร์ทของทางไพรเวทแบงค์กิ้งในปี 61 ที่ผ่านมาขาดทุนประมาณ 2-3% ขณะที่ปีนี้ผลตอบแทนจะกลับมากำไรอยู่ที่ประมาณ 5-6% โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้พอร์ทกำไรแล้ว 9% โดยปัจจัยหลักมาจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

นายจิรวัฒน์ ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงการบริหารพอร์ตในปีนี้ว่า ตลาดผันผวนพอสมควรทางไพรเวทแบงค์กิ้งจึงเน้นการกระจายพอร์ทโดยเราแนะว่าลงทุนในหุ้น 40% ลงทุนในตราสารหนี้ 40% และการลงทุนทางเลือกอาทิ ทองคำ เงินเยน อีกประมาณ20%

นายสเตฟาน โมเนียร์ ผู้บริหารงานการลงทุนระดับสูง, ลอมบาร์ด โอเดียร์ ไพรเวทแบงก์ (Chief Investment Officer, Lombard Odier Private Bank) มองเรื่องสงครามการค้าว่าหลังจากการประชุม G-20 ที่โอซาก้าประเทศญี่ปุ่นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มองเป็นมุมบวกมากขึ้นในการจะบรรลุข้อตกลงโดยประธานาธิบดีทรัมพ์ได้กลับมาพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน โดยหยุดหรือชะลอการเก็บภาษีรอบใหม่ออกไปก่อน ขณะที่เริ่มผ่อนปรนให้บริษัทไอทีสหรัฐขายของให้ Huawei ได้บ้างแล้วแต่ยังไม่อนุญาตให้ Huawei กลับมาขายของในสหรัฐฯได้ ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีการกลับมาคุยกันในครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจาก เพราะแรงกดดันจากเกษตรกรในสหรัฐฯที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้านี้แล้ว เพราะยิ่งยืดเยื้อจะส่งผลการค้าระหว่างประเทศ ถ้าสามารถตกลงในสิ้นปีนี้หรืออย่างช้าต้นปีหน้าจะส่งผลบวกกับตลาดการเงินอย่างมาก

ในการจัดพอร์ทของลูกค้า ทางนายสเตฟาน โมเนียร์ แนะนำว่า โลกยังอยู่ในช่วงของ Late Cycle ในระยะสั้นมีปัจจัยที่ต้องให้นำหนักคือ การบรรลุข้อตกลงของสงครามการค้า นโยบายการเงินของ FED จะผ่อนคลายหรือไม่ และประเด็นระยะยาวคือสงครามเย็นของ Tech Company ระหว่างจีน-สหรัฐ  ด้วยปัจจัยเหล่านี้จึงต้องกระจายความเสี่ยง แต่ยังไม่ถึงระดับเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ

การจัดพอร์ทแบ่งออกเป็น 40%  ลงในตราสารหนี้ระยะยาวเพราะผลตอบแทนได้ทั้งดอกเบี้ยและผลกำไรจากราคาพันธบัตร อีก 40% ลงในหุ้นที่มองว่าจะเป็นหุ้นชนะในระยะยาวอาทิ หุ้น Airbus และขายหุ้นธุรกิจรถยนต์ของยุโรป รวมทั้งมองหุ้นในตลาดเกิดใหม่ส่วนอีก 20% ลงในสินทรัพย์ทางเลือกเช่น ทองคำ บางส่วนอาจลงในเงินเยน

ทางนายโฮมิน ลี  Head of Portfolio Solutions Asia, Asia Macro Strategist, Lombard Odier ได้กล่าวถึงเรื่องค่าเงินบาทว่า ไทยยังมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่แข็งแกร่ง ซึ่งอาจถูกจับตาจากทางสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯมีการแต่งตั้งผู้แทนที่เข้ามาดูแลประเทศที่มีดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกและค่าเงินอ่อน แต่เนื่องจากบาทแข็งทำให้ไทยน่าจะรอดจากการถูกจับตา

ในส่วนของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) นายโฮมิน ลี มองว่าน่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงเดือนกรกฎาคมหรือกันยายนลงประมาณ 0.25% และในช่วงเดือนกันยายนและธันวาคมอีก 0.25% ที่จะส่งผลดีต่อตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)

สำหรับค่าเงินบาทนายโฮมิน ลี มองว่าค่าเงินบาทสามารถลงไปได้อีก 5% และอาจแตะที่ 28.50 บาท/ดอลลาร์ในสิ้นปี แต่ขึ้นกับสภาวะตลาดและสงครามการค้ารวมทั้งนโยบายการเงินที่จะสะท้อนกับค่าเงินในเวลานั้น โดยให้มุมมองเชิงบวกว่าแม้ค่าเงินจะแข็งก็ตามแต่เศรษฐกิจก็สามารถขยายตัวได้เพราะถ้ารัฐเร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการนำเข้าสินค้าทุนจะถูกลง และเน้นการบริโภคภายใน ไม่จำเป็นต้องพึ่งการส่งออกเป็นเครื่องยนต์หลัก

นอกจากนี้นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head  ได้กล่าวเพิ่มเติมสำหรับลูกค้าไพรเวทแบงค์กิ้งว่า จะมีการออกกองทุนโดยเฉลี่ยในครึ่งปีหลังประมาณ 6 กองมูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยทั้งปีมีแผนออกกองทุนทั้งหมด 12 กอง โดยเน้นการเติบโตที่สม่ำเสมอ ซึ่งทั้งปีคาดว่ากองทุนทั้งหมดที่ออกจำหน่ายให้แก่ลูกค้าจะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 50,000 ล้านบาท