14-11-2019

สถาบันป๋วยฯ ชี้ ธุรกิจผูกขาดทำให้การแข่งขันลดลง พร้อมกับธุรกิจซอมบี้กดทับธุรกิจใหม่เกิดยากขึ้น

บทความโดย

ในยุคที่การแข่งขันทางเศรษฐกิจที่รุนแรงมากขึ้น สงครามการค้าที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ความสามารถทางการแข่งขันยังไม่โดดเด่นมากพอ ภาคธุรกิจไทยกลับกำลังเผชิญโครงสร้างการผูกขาดที่กลายเป็นตัวฉุดรั้งการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันและการเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาวของธุรกิจไทย พร้อมไปกับการเกิดขึ้นของธุรกิจซอมบี้ที่ไม่ยอมไปเกิดใหม่ กลับเป็นผู้ที่แย่งชิงทรัพยากรสำหรับธุรกิจเกิดใหม่ที่มีศักยภาพทำให้เติบโตได้ยากและอาจเป็นคำตอบที่ว่าทำไมประเทศไทยที่ผ่านมาการลงทุนของภาคเอกชนจึงน้อยลงไปอย่างน่าใจหาย !!


(ขวามือ) ดร.กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (ซ้ายมือ)ดร.อาชว์ ปวีณวัฒน์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ วิเคราะห์งบการเงินรายปีของบริษัทกว่า 750,000 ราย ครอบคลุมระยะเวลากว่า 10 ปี ผลการศึกษาสะท้อนโครงสร้างของภาคธุรกิจที่น่าเป็นห่วงในหลายด้าน ทั้งการกระจุกตัวของรายได้ที่สูงอย่างต่อเนื่อง การผูกขาดทางธุรกิจที่รุนแรงขึ้น และพลวัตที่ลดลง แนะนำให้ส่งเสริมการแข่งขัน เพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อ ควบคู่ไปกับการยกระดับผลิตภาพของภาคธุรกิจไทย

ดร.อาชว์ ปวีณวัฒน์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับคณะนักวิจัยศึกษาเกี่ยวกับภาคธุรกิจไทย พบว่าบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 5% มีรายรับรวมสูงถึง 85% ของรายรับทั้งหมดของภาคธุรกิจไทย และการกระจุกตัวในลักษณะนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอย่างน้อยกว่า 10 ปีแล้ว ในขณะที่บริษัทขนาดกลางมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนสูงกว่าบริษัทขนาดใหญ่แต่มีปัญหาด้านข้อจำกัดด้านสินเชื่อ ส่วนบริษัทขนาดเล็กจำนวนมากมีปัญหาผลิตภาพที่ค่อนข้างต่ำ  นอกจากนี้ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กยังมีปัญหาการบริหารสินทรัพย์หมุนเวียน ตัวอย่างเช่น ระยะเวลาที่บริษัทขนาดเล็กต้องจ่ายเงินสดล่วงหน้าเพื่อซื้อวัตถุดิบก่อนที่จะได้เงินสดกลับเข้ามาจากการขายสินค้ายาวนานกว่าบริษัทขนาดใหญ่ถึง 4 เดือน ซึ่งเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสทางการเงินที่สูงขึ้นของบริษัทขนาดเล็ก

นอกจากนี้ อำนาจตลาดของธุรกิจไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2554 แสดงถึงแนวโน้มของการแข่งขันที่ลดลง โดยอำนาจตลาดของบริษัทที่มีอำนาจตลาดสูงอยู่แล้วเพิ่มขึ้นเร็วกว่าบริษัทอื่น ๆ ทั้งนี้ บริษัทในภาคบริการมีอำนาจตลาดสูงกว่าบริษัทในภาคการผลิต และบริษัทในกลุ่มทุนมีอำนาจตลาดสูงกว่าบริษัทที่ไม่ใช่กลุ่มทุน ทั้งนี้ บริษัทที่มีอำนาจตลาดสูงสุด 5% แรกของประเทศอยู่ในอุตสาหกรรมค้าปลีก ค้าส่ง ร้านอาหาร โรงแรม และการผลิตอาหาร ส่วนอุตสาหกรรมที่มีอำนาจตลาดสูงขึ้นมากที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คือ การขนส่งทางน้ำ ตัวแทนธุรกิจจัดการเดินทางและธุรกิจจัดนำเที่ยว คลังสินค้า ธุรกิจบันเทิง และภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ ส่วนธุรกิจที่มีอำนาจตลาดลดลง ได้แก่ โทรคมนาคม สิ่งพิมพ์ กิจกรรมกีฬาและความบันเทิง กิจกรรมบริการสารสนเทศ และร้านอาหาร

ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นว่า อำนาจตลาดที่เพิ่มขึ้นของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมการผลิตมีผลทางลบต่อแรงจูงใจของบริษัทในการลงทุนและส่งออก โดยบริษัทที่มีอำนาจตลาดสูงมีอัตราการลงทุนและอัตราการเติบโตของผลิตภาพต่ำ มีแนวโน้มที่จะส่งออกน้อย เมื่อส่งออกก็มีโอกาสอยู่รอดในตลาดต่างประเทศต่ำ และขาดแรงจูงใจในการขยายจำนวนประเทศผู้ซื้อและจำนวนผลิตภัณฑ์

เมื่อพิจารณาพลวัตธุรกิจที่วัดจากอัตราการเข้าสู่ตลาดของบริษัทใหม่และอัตราการออกจากตลาดของบริษัทที่มีอยู่เดิม คณะผู้วิจัยพบว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาพลวัตธุรกิจของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องอันส่งผลทำให้อายุเฉลี่ยของบริษัทไทยเพิ่มขึ้น และพบว่าการมีอยู่ของบริษัทผีดิบ (zombie firms) หรือบริษัทที่ไม่สามารถทำกำไรได้และควรที่จะต้องออกจากตลาดไปแต่กลับอยู่รอดในระบบเศรษฐกิจได้ มีความสัมพันธ์กับพลวัตธุรกิจ โดยสัดส่วนของบริษัทผีดิบที่สูงในอุตสาหกรรมหนึ่ง ๆ มีความสัมพันธ์กับการลงทุนที่ต่ำของบริษัทอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมนั้น และโอกาสที่ลดลงในการที่บริษัทใหม่ ๆ จะเข้าสู่อุตสาหกรรมนั้นด้วย อันสะท้อนถึงปัญหาการจัดสรรทรัพยากรที่กระจุกตัวอยู่ในธุรกิจที่ผลิตภาพต่ำ โดยอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนบริษัทผีดิบสูง ได้แก่ การก่อสร้าง โรงแรม กิจกรรมกีฬาและความบันเทิง กิจกรรมผลิตโลหะพื้นฐาน และการศึกษา

จากผลการศึกษา มีนัยเชิงนโยบาย 3 ประการ ที่น่าสนใจดังนี้

ภาคธุรกิจไทยกระจุกตัวสูง

บริษัทขนาดกลางจำนวนหนึ่งมีสัดส่วนสินเชื่อที่ค่อนข้างต่ำแม้ว่าจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูง สะท้อนถึงการที่บริษัทเหล่านี้อาจเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงหรือมีข้อจำกัดด้านสินเชื่อ นโยบายที่ช่วยให้บริษัทในกลุ่มนี้เข้าถึงสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นจะช่วยทำให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ดี บริษัทขนาดเล็กจำนวนมากมีผลตอบแทนจากการลงทุนที่ต่ำ ชี้ให้เห็นปัญหาผลิตภาพของบริษัทกลุ่มนี้ ในการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การใช้นโยบายที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่ออย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องใช้นโยบายอื่น ๆ ที่จะช่วยยกระดับผลิตภาพของบริษัทควบคู่ไปด้วย

การผูกขาดในภาคธุรกิจไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

อำนาจตลาดของบริษัทไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น บริษัทในกลุ่มทุนมีอำนาจตลาดสูงกว่าบริษัททั่วไป และอำนาจตลาดส่งผลทางลบต่อประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากรโดยทำให้บริษัทขาดแรงจูงใจในการลงทุนเพื่อเพิ่มผลิตภาพ ขาดแรงจูงใจและความสามารถในการส่งออก ดังนั้น การเพิ่มการแข่งขันภายในประเทศมีความจำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ผู้กำกับดูแลด้านการแข่งขันควรที่จะนำมิติด้านโครงสร้างความเป็นเจ้าของมาพิจารณาประกอบการดำเนินนโยบายด้วย

พลวัตธุรกิจไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

งานวิจัยพบว่า บริษัทบางแห่งผลกำไรจากการดำเนินงานต่ำกว่ารายจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งควรปิดตัวลงแต่กลับยังอยู่ต่อไปได้ในตลาด โดยบริษัทเหล่านี้เรียกว่า บริษัทผีดิบ หรือ Zombie Firm   การมีอยู่ของบริษัทผีดิบส่งผลทางลบต่อโอกาสที่บริษัทใหม่จะเข้าสู่ตลาดและต่อการเติบโตของบริษัทอื่นๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน

ผลของการบริษัทผีดิบที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมหนึ่ง ส่งผลกระทบทางลบต่อโอกาสที่บริษัทใหม่จะเข้าสู่ตลาดในอุตสาหกรรมนั้น โดยการพิ่มขึ้นของบริษัทผีดิบทำให้การลงทุนของบริษัททั่วไปลดลง 0.8% และทำให้บริษัทอายุน้อยลงทุนลดลง 0.9%

ความจำเป็นที่จะต้องมีนโนยายแก้ปัญหาบริษัทผีดิบในตลาดนั่นคือ นโยบายที่ทำให้บริษัทเก่าที่ไม่สามารถทำกำไรได้ออกจากตลาดเร็วขึ้น เช่น การปรับปรุงกฎหมายล้มละลาย ดังเช่นในกรณีของต่างประเทศ หรือนโยบายที่ช่วยให้บริษัทใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น เช่น การแก้ไขกฎระเบียบเพื่อลดขั้นตอนและระยะเวลาในการตั้งบริษัทใหม่ จะช่วยทำให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการที่บริษัทใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้นจะช่วยยกระดับการแข่งขันในตลาดให้เพิ่มขึ้นและลดอำนาจตลาดของบริษัทอีกด้วย

ทั้งนี้ นโยบายภาครัฐหลายๆ ด้านดำเนินมาถูกทางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านการยกระดับผลิตภาพของ SMEs ที่ทางสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กำหนดให้เป็นตัวชี้วัดหลักตัวหนึ่ง หรือด้านการแก้ปัญหาการล้มละลายและการเริ่มต้นธุรกิจที่ประเทศไทยได้มีการพัฒนามาตามลำดับ  โดยในการจัดอันดับ Ease of Doing Business โดยธนาคารโลก ในหัวข้อ Resolving insolvency และ Starting a business ประเทศไทยได้อันดับดีขึ้นจาก 75 เป็น 39 และจาก 45 เป็น 24 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา  อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาในบทความนี้ชี้ให้เห็นถึงโอกาสและประโยชน์ที่จะได้รับจากการปรับปรุงและแก้ไขนโยบายอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของภาคธุรกิจไทย