16-05-2019

ทรัมพ์ลงนามคำสั่งประธานาธิบดี ห้ามใช้อุปกรณ์สื่อสารของจีน

บทความโดย

วันพุธที่ 15 พ.ค. ที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมพ์ได้ใช้อำนาจประธานาธิบดีลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉิน สั่งห้ามบริษัทในสหรัฐอเมริกาใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีและบริการจากต่างชาติที่อาจส่งผลต่อภัยความมั่นคง โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีหัวเหว่ย จากจีนอย่างเต็มรูปแบบ

ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้จะสร้างแรงกดดันต่อจีนในสองเรื่องด้วยกันนั่นคือเรื่องความปลอดภัยและเรื่องการค้า ซึ่งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมายังอยู่ในกระบวนการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน

โดยเป้าหมายสำคัญของทางวอชิงตันนั้นชัดเจนว่าต้องการให้จีนหยุดเป้าหมายเรื่อง “Made in China 2025” ซึ่งเป็นแผน 10 ปีนับจากปี 2015 ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศแผนงานนี้ที่ต้องการเป็นประเทศผู้ผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายการเป็นประเทศมหาอำนาจเบอร์ 1 ในปี 2049 ที่จีนจะครบรอบ 100 ปีแห่งการปฏิวัติ

ทำให้ทรัมพ์ออกมาตรการต่างๆตรงไปที่หัวใจของนโยบายอุตสาหกรรมจีน แม้ว่าคำสั่งฝ่ายบริหารไม่ได้หมายถึงประเทศใดประเทศหนึ่งก็ตาม  แต่มีเป้าหมายชัดเจนคือบริษัทหัวเหว่ยซึ่งเวลานี้ถือว่าเป็นผู้นำเทคโนดลยี 5G ชั้นนำของโลก

เรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯได้ออกมากล่าวว่า หัวเหว่ยรวมทั้งบริษัทในเครือจะซื้อสิทธิบัตรต่างๆของสหรัฐจะได้รับอนุญาตก่อนการขายหรือรับเทคโนโลยีของสหรัฐ ในการห้ามส่งออกเทคโนดลยีลักษณะนี้มีความหมายว่า “ต้องการปกป้องเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาซึ่งถูกใช้โดยประเทศอื่นที่มีศักยภาพในการคุกคามความมั่นคงและผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา” นี่เป็นคำกล่าวของรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ วิลเบอร์ รอส (Wilbur Ross)

การห้ามส่งออกคล้ายกันนี้ถูกนำไปใช้ก่อนหน้ากับ ZTE เมื่อเมษายน 2018 หรือปีที่แล้วที่ส่งผลต่อผลประกอบการของZTE จนอาจล้มละลายได้เลยทีเดียว แต่ความเคลื่อนไหวครั้งนี้คือหัวเหว่ยซึ่งมีความสำคัญสูงกว่า ด้วยยอดขายที่มากกว่า ZTE ถึง 5 เท่า และนำเข้าชิ้นส่วนเทคโนโลยีชั้นสูงจากสหรัฐฯมูลค่าปีละกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

แถลงการณ์ของหัวเหว่ย

“หัวเหว่ย เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี 5G อย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ เราพร้อมและเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมทั้งร่วมกันหามาตรการเพื่อรับรองความปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพ การเข้มงวดในการทำธุรกิจของหัวเหว่ยในสหรัฐฯไม่ได้ช่วยให้สหรัฐฯมีความปลอดภัยมากขึ้นหรือแข็งแกร่งกว่าเดิม แต่กลับสร้างข้อจำกัดในทางเลือกที่ด้อยกว่า ราคาแพงกว่าและส่งผลให้เทคโนโลยี 5G ของสหรัฐฯล้าหลังกว่า ทำให้ในที่สุดแล้วผลเสียจะเกิดกับบริษัทเอกชนและผู้บริโภคชาวสหรัฐฯนั่นเอง นอกจากนี้การยับยั้งที่เข้มงวดอันไร้เหตุผลนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ต่อหัวเหว่ยและรวมทั้งประเด็นข้อกฎหมายต่างๆอีกด้วย”

การขยับของวอชิงตันในครั้งนี้เป็นไปตามการคาดหมาย ทำให้หัวเหว่ยเองจะต้องขยายแหล่งจัดหาวัตถุดิบชิ้นส่วนเพื่อเข้าสู่กระบวนการผลิตจากทั้งในญี่ปุ่นและยุโรปแต่บริษัทโทรคมนาคมจีนยังจำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีชิปและซอฟต์แวร์จากสหรัฐอย่างมาก การกดดันผ่านมาตรการนี้อาจเป็นตัวเร่งให้ทางสีจิ้นผิงเร่งเรื่องการบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐให้เร็วขึ้น

ขณะที่จีนเองกำลังเล่นเกมส์ต่อเวลา โดยทวิตเตอร์ของ Hu Xijin หัวหน้ากองบรรณาธิการของ Global Times ซึ่งเป็นกระบอกเสียงให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ทวิตว่า “สงครามที่ยืดเยื้อเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวจีนว่าเป็นกลยุทธ์ให้ฝ่ายตรงข้ามหมดแรง” ซึ่งมาจากหนังสือของเหมา เจอตุงเรื่อง “สงครามยืดเยื้อ”

คำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีทรัมพ์ สั่งให้หน่วยงานในรัฐบาลสหรัฐต้องมีการประเมินภัยคุกคามความปลอดภัยประจำปีจากภัยคุกคามทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือการบริการที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศ โดยให้ประเมินเสร็จสิ้นภายใน 40 วัน

ทั้งนี้โฆษกประจำทำเนียบขาว Sarah Sanders  กล่าวว่า “การปกป้องให้สหรัฐอเมริกาปฃอดภัยและรุ่งเรืองต่อไปพร้อมกับการปกป้องสหรัฐอเมริกาจากศัตรูที่กำลังสร้างและใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ผ่านโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารโทรคมนาคมในสหรัฐอเมริกา”

Source: Nikkei