08-08-2018

สหรัฐเล่นจีนเพิ่ม โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเป็นรอบสอง เริ่มต้น 23 ส.ค.นี้

บทความโดย
  • สหรัฐเพิ่มรายการสินค้า 279 รายการที่จะโดนเก็บภาษีขาเข้าเพิ่มอีก 25% มูลค่ากว่า 16,000 ล้านเหรียญ
  • รายการสินค้าที่ถูกเพิ่มเข้ามาอาทิ เคมีภัณฑ์บางประเภท,  อุปกรณ์ทางการเกษตร, รถจักรยานยนต์

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาสำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐได้เพิ่มรายการสินค้าที่จะต้องเก็บภาษีเพิ่ม 25% อีก 279 รายการมูลค่าสินค้านำเข้ากลุ่มนี้จะอยู่ที่ราว 1.6 หมื่นล้านเหรียญ โดต่อยจะเริ่มเก็บภาษีตั้งแต่วันที่ 23 สิงกาคมนี้เป็นต้นไป

โดยรายการภาษียังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากเวอร์ชั่นดั้งเดิม แม้ว่าจะมี 5 รายการที่เพิ่มเข้ามาอาทิ ตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้า, เคมีภัณฑ์กลุ่ม polyethylene, อุปกรณ์การเกษตร ซึ่งรวมถึง แทรกเตอร์ในการเกษตร อุปกรณ์ชลประทาน และผู้จำหน่ายปุ๋ยเคมี, เครื่องจักรสำหรับผลิตจอแบน, มอเตอร์ไซต์และรถรางโดยสาร จะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ในรายการที่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มนั้น ถูกใช้อย่างแพร่หลายในอุปกรณ์ภายในบ้านรวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคอีกด้วย ซึ่งกลุ่มผู้ผลิตสินค้าในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ ประกาศคัดค้านการขึ้นภาษีในครั้งนี้ โดยอ้างว่าการปรับขึ้นภาษีในครั้งนี้จะบังคับให้สินค้าของพวกเขาต้องปรับราคาขึ้น

ทั้งนี้สำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐ ได้เคยกล่าวไว้ในเดือนมีนาคมสรุปว่า”การกระทำของจีน ทั้งในเชิงนโยบายและการปฏิบัติสัมพันธ์กับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลซึ่งเมื่อพิเคราะห์แล้วเป็นภาระต่อการค้าของสหรัฐฯ”

“ทางการจีนใช้ข้อกำหนดเรื่องกิจการร่วมค้า ข้อจำกัดการลงทุนจากต่างประเทศรวมถึงเรื่องการออกใบอนุญาต เพื่อเป็นแรงกดดันให้เกิดการถ่ายโอนเทคโนโลยี”  แหล่งข่าวนักธุรกิจอเมริกันกล่าว

ขณะที่ทางการจีนเองก็พร้อมตอบโต้การเก็บภาษีเพิ่มเติม 25% มูลค่าสินค้าจากสหรัฐกว่า 1.6 หมื่นล้านเหรียญเช่นกัน โดยทางวอชิงกันเตรียมการเรื่องการขึ้นภาษีศุลกากรอีก 2 แสนล้านเหรียญต่อสินค้านำเข้าจากจีน

ประธานาธิบดีทรัมพ์ได้สั่งให้ตัวแทนการค้าของสหรัฐ นาย Robert Lighthizer เมื่อสัปดาห์ก่อนเพื่อพิจารณาการขึ้นภาษี 25% สินค้านำเข้ามูลค่ากว่า 2 แสนล้านเหรียญ จากเดิมที่อยู่ 10%  ซึ่งทางปักกิ่งเองก็เตรียมการตอบโต้โดยการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐจาก 5% เป็น 25% เช่นกันมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งแม้จะมีการเจรจาอยู่ก็ตามแต่แนวโน้มยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

 

Source: Nikkei