03-11-2018

สีจิ้นผิงประกาศฟื้นความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจจีน ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว

บทความโดย
  • ประธานาธิบดีจีน สีจิ้นผิง กล่าวว่าจะให้การสนับสนุนภาคธุรกิจ ด้วยมาตรการงดเว้นภาษีและจะอนุมัติช่องทางการขยายงบประมาณเพิ่มเพื่อการนี้ด้วย
  • สีจิ้นผิงให้คำมั่นว่า จะให้การปฏิบัติต่อทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงยืนยันว่าสิทธิส่วนบุคคลและสินทรัพย์จะได้รับการปกป้อง

ภาพจาก Shutterstock

ประธานาธิบดีจีน สีจิ้นผิงได้กล่าวสุนทรพจน์ในขณะป็นประธานการประชุมสัมมนากับภาคเอกชน ที่จัดขึ้น ณ กรุงปักกิ่ง เมื่อวันพฤหัสบดี (1 พ.ย.) ที่ผ่านมา โดยกล่าวถึงแนวทางการลดหย่อนภาษี และขยายงบประมาณเพื่อช่วยเหลือองค์กรเอกชน และสร้างความเชื่อมั่นว่าจะได้รับการปกป้องสิทธิส่วนบุคคลของผู้ประกอบการ

กล่าวได้ว่า สีจิ้นผิง คือผู้นำของจีนที่ทรงอำนาจที่สุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีความพยายามที่จะฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กับเศรษฐกิจของจีน ในขณะที่ภาคธุรกิจจำนวนมากกำลังประสบปัญหาและมีความวิตกต่ออนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศ และในส่วนของภาครัฐที่มีอำนาจแทรกแซงความเป็นส่วนตัวในแต่ละด้านเพิ่มมากขึ้น แล้วจากในหนังสือเปิดผนึกของสีจิ้นผิงในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้ระบุว่า เขาจะให้การปกป้องต่อภาคธุรกิจเอกชนและคุ้มครองสิทธิในภาคธุรกิจอย่างแน่นอน

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สีจิ้นผิง ได้จัดให้มีการประชุมสัมมนาครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อรับฟังข้อเสนอต่างๆจากตัวแทนในภาคธุรกิจเอกชนทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน เช่น นาย Pony Ma (หม่าฮั่วเถิ่ง) ผู้ก่อตั้งบริษัท Tencent หรือ นาย Robin Li ผู้ก่อตั้งบริษัท Baidu รวมถึงรัฐมนตรี นายธนาคารต่างๆ พากันเข้าร่วมในงานสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของประเทศในครั้งนี้อย่างคับคั่ง

หลังจากเปิดงาน สีจิ้นผิงได้จับมือกับเหล่านักธุรกิจทุกภาคส่วน และได้กล่าวสุนทรพจน์ว่า “ข้าพเจ้ามาที่นี่ในวันนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ทุกท่าน”

ในระหว่างงานสัมมนา สีจิ้นผิงกล่าวไปถึงบทบาทในการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่พัฒนาเรื่อยมาตั้งแต่ยุค 1980 จีนก็เริ่มใช้ระบบเศรษฐกิจพื้นฐานที่หน่วยงานรัฐเป็นเจ้าของ ที่สามารถพัฒนาร่วมกับรูปแบบอื่นๆที่เจ้าของธุรกิจมีสิทธิถือครองกรรมสิทธ์ได้ ซึ่งภาคเอกชนจะต้องเติบโตอย่างเข้มแข็งมากขึ้น และจะต้องไม่อ่อนแอลงด้วย

“ไม่กี่วันก่อน ผู้คนส่วนหนึ่งเริ่มสร้างปล่อยข่าวและความกังวลเกี่ยวกับการเสียสิทธิในการถือครองกรรมสิทธิส่วนบุคคล ทั้งยังมีความเข้าใจผิดๆที่ว่า จะมีการจัดตั้งหน่วยงานย่อยของพรรคและสหภาพแรงงานในองค์กรธุรกิจ เพื่อเป้าหมายที่จะเข้าควบคุมองค์กรธุรกิจนั้น ทั้งหมดเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และไม่ได้สอดคล้องกับนโยบายของพรรค” สีจิ้นผิงกล่าว ซึ่งได้รายงานโดยสำนักข่าว Xinhua

สีจิ้นผิงกล่าวย้ำอีกว่า ธุรกิจภาคเอกชนเป็น “แรงขับเคลื่อนที่ขาดไม่ได้ในการพัฒนาของจีน” และสิทธิในการระบบเศรษฐกิจพื้นฐานของจีนซึ่งนับเป็นปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ ที่ได้รวมเข้ากับรัฐธรรมนูญและพรรคคอมมิวนิสต์ จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงและไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้ สีจิ้นผิงยืนยันและให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนและผู้ประกอบการทุกราย โดยภาครัฐจะให้การสนับสนุนด้วยการออกมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับนิติบุคคล ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากการที่องค์กรธุรกิจได้วิพากษ์ในประเด็นนี้มานานแล้วว่า มันไม่เป็นมิตรกับภาคธุรกิจเอกชนเท่าที่ควร

เกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว สีจิ้นผิงกล่าวว่า ทางธนาคารต่างๆจะให้การกู้ยืมที่มากขึ้นกับกาคธุรกิจ และการออกคำสั่งให้หน่วยงานท้องถิ่นของรัฐบาลให้การช่วยเหลือกับภาคธุรกิจมากขึ้น โดยย้ำว่า การช่วยให้ภาคธุรกิจเอกชนมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี ก็จะช่วยการดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้ สีจิ้นผิงก็มองว่าการลดหย่อนภาษีจะช่วยภาคธุรกิจได้เพียงชั่วคราว และทุกภาคส่วนอาจจะไม่ได้รับประโยชน์ในส่วนนี้อย่างทั่วถึง

ดังนั้นสีจิ้นผิงจึงให้คำมั่นว่าจะให้การปฏิบัติต่อภาคธุรกิจอย่างเท่าเทียมกันทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลได้รณรงค์ให้ลดอัตราการผลิตที่ก่อมลภาวะ ก็ย่อมมีการร้องเรียนมายังภาครัฐเพื่อให้ผ่อนคลายกฎระเบียบในการดำเนินการเป็นเรื่องปกติ สีจิ้นผิงยังเรียกร้องให้หน่วยงานท้องถิ่นต้องให้ความสำคัญต่อการรับฟังปัญหาและความต้องการจากภาคธุรกิจเอกชนและผู้ประกอบการมากขึ้น

นอกจากนี้ เขายังกล่าวย้ำถึงจุดยืนและมาตรการของพรรคที่จะปกป้องการถือครองสิทธิทั้งส่วนบุคคลและภาคธุรกิจ ต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น ความชอบธรรมในกฎหมายต้องได้รับการพิทักษ์ไว้ เจ้าหน้าที่รัฐควรให้อภัยต่อการดำเนินงานที่ไม่สม่ำเสมอของภาคเอกชนจากที่ผ่านมา

ปัจจุบัน เศรษฐกิจจีนกว่าร้อยละ 60 มาจากภาคเอกชน และสร้างงานมากกว่าร้อยละ 80 ในประเทศ แต่ภาคเอกชนจีนกำลังต้องเผชิญหน้ากับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ และองค์กรธุรกิจจำนวนมากก็กำลังเป็นกังวลกับอำนาจของรัฐบาลที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งก็เป็นผลมาจากประวัติศาสตร์ในอดีตของพรรคที่เคยต่อต้านระบอบทุนนิยมอย่างรุนแรงมาก่อน เมื่อครั้งอยู่ภายใต้การปกครองของเหมาเจ๋อตง
อย่างไรก็ตาม หลังจากเติ้งเสี่ยวผิงขึ้นมาครองอำนาจในปี ค.ศ. 1978 รัฐบาลจีนก็ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายและอนุญาตให้เปิดเสรีทางการค้าได้ ซึ่งนโยบายดังกล่าวก็ได้สืบทอดต่อมาโดยประธานาธิบดีเจียงเจ๋อหมิน

เมื่อสีจิ้นผิงเข้ามาครองอำนาจในปี ค.ศ. 2012 ก็ได้ให้คำมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะปล่อยให้เศรษฐกิจเป็นไปตามกลไกของตลาด ในขณะที่ดำเนินการเข้าควบคุมและขยายอำนาจทางการเมืองและภายในพรรค

นาย จอร์จ แม็กนัส นักวิจัยของ The University of Oxford China Centre ได้แสดงความเห็นว่า ในขณะที่รัฐบาลได้กล่าวถึงการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมต่อภาคเอกชนและองค์กรธุรกิจ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะหนีไปจากข้อสรุปที่ว่า ภาครัฐและหน่วยงานต่างๆยังคงถือเอกสิทธิพิเศษที่เหนือกว่า และมาตรการต่างๆที่ประกาศใช้ ก็ล้วนแต่เป็นการเพิ่มอิทธิพลของพรรคให้อยู่เหนือกว่าการตัดสินใจในสภาพแวดล้อมเชิงปฏิบัติการขององค์กรธุรกิจในทุกวงการ

Source: SCMP