27-03-2018

“Uber” ขายธุรกิจทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดให้ “Grab” แล้ว

บทความโดย

บริษัท “Uber” ประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว ว่ามีการบรรลุข้อตกลงในการขายธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้กับบริษัทคู่แข่งทางการค้าอย่าง “Grab” แล้ว การขายธุรกิจครั้งนี้ถือเป็นดีลครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัทสตาร์ทอัพในภูมิภาค และทำให้ “Uber” เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันแห่งที่สองที่ถอนตัวออกจากภูมิภาคนี้

รายละเอียดของการซื้อขายครั้งนี้ “Uber” จะเข้าถือหุ้นในบริษัท “Grab” 27.5% และ  Dara Khosrowshahi CEO ของ Uber ก็จะเข้ามาดำรงตำแหน่งในบอร์ดบริหารของ Grab อีกด้วย ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้ “Grab” เข้ามารับช่วงธุรกิจทั้งหมดของ Uber ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจรถยนต์โดยสาร และธุรกิจส่งอาหาร Uber Eats

ทั้งนี้ธุรกิจของ Uber ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครอบคลุมทั้งหมด 8 ประเทศ คือ ไทย เมียนมาร์ สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย กัมพูชา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งการที่ Grab ได้ครอบครองธุรกิจของ Uber ทั้งหมดส่งผลให้ Grab กลายเป็นผู้ให้บริการด้านรถยนต์โดยสารส่วนบุคคลในประเทศเหล่านี้เกือบทั้งหมด ยกเว้นใน ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมี Go-Jek เป็นผู้ให้บริการอีกเจ้า ซึ่ง Go-Jek ก็กำลังมีแผนการขยายธุรกิจไปยังฟิลิปปินส์ในเร็วๆนี้

ด้านผู้บริหาร Grab ระบุว่าทางบริษัทกำลังร่วมมือกับ Uber เพื่อย้ายฐานผู้ขับรถและลูกค้าของ Uber ในภูมิภาคนี้มาสู่แอพลิเคชั่นของ Grab โดยบริการรถ Uber รวมถึง Uber Eats จะยังคงให้บริการจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้

การถอนตัวออกจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Uber สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของ Uber ในการทำกำไรจากธุรกิจในภูมิภาคเอเชียทั้งหมด โดยก่อนหน้านี้ Uber ก็ถอนตัวออกจากจีน และรัสเซีย อย่างไรก็ตามผู้บริหารของ Uber ยังคงมุ่งมั่นในการทำธุรกิจในอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และลาตินอเมริกา

Dara Khosrowshahi CEO ของ Uber กล่าวว่า “เศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ ไม่ได้เป็นไปตามการตลาดที่เราคาดหวัง” การขายกิจการในพื้นที่ซึ่งมีปัญหาด้านการทำกำไร ทำให้สามารถโฟกัสไปในพื้นที่เป้าหมายหลักได้ดีขึ้น อีกทั้งการที่ Uber เข้าไปร่วมถือหุ้นกับบริษัทที่เป็นผู้นำการตลาดจะทำให้ Uber ได้ผลประโยชน์มากกว่า

โดยก่อนหน้านี้ Uber ลงทุนกับธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปแล้วประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่การขายกิจการและแลกเปลี่ยนหุ้นกับ Grab มีการประเมินว่าดีลครั้งนี้มีมูลค่าประมาณ 1,500 – 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

 

ที่มา : Reuters